2025.03.27

5 เทรนด์แต่งบ้านตอบเทรนด์ความยั่งยืนที่ยั่งยืนกว่าเคย

คนในแวดวงดีไซน์จะรู้ว่า “ความยั่งยืน” เป็นโจทย์ใหญ่ของวงการ ดีไซเนอร์ต่างใช้ความยั่งยืนเป็นแก่นในการออกแบบ สร้างสรรค์นวัตกรรมวัสดุ และพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้งานดีไซน์ตอบโจทย์การใช้งานที่ให้ความสำคัญกับโลกและสิ่งมีชีวิต 


เช่นเดียวกันกับวงการสถาปัตยกรรมและแต่งบ้าน จากที่เคยมองว่าการออกแบบที่คำนึงถึงความยั่งยืนเป็นเพียงแค่กระแสชั่วคราว ในช่วงไม่กี่ปีให้หลัง แนวคิดออกแบบอย่างยั่งยืนกำลังไต่ระดับขึ้นเป็นกติกาของวงการแต่งบ้านยุคใหม่ นักออกแบบภายในและผู้รับเหมายังคงค้นหาวิธีออกแบบที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม 


ใครก็รู้ บ้านที่อยู่สบายได้ต้องยั่งยืนด้วย แต่สงสัยหรือไม่ว่า จะแต่งบ้านให้ยั่งยืนต้องเริ่มตรงไหน ปรับตรงไหนที่จะคุ้มค่าที่สุด หรือปรับบ้านอย่างไรให้ทันสมัยได้และยั่งยืนด้วย ถึงเวลาไขความลับกับ 5 เทรนด์แต่งบ้านที่จะทำให้บ้านยั่งยืนยิ่งกว่าเคย ให้การปรับบ้านหนึ่งครั้งมอบสุนทรียะที่อยู่สบายและเป็นหนึ่งเดียวกับความยั่งยืนในคราวเดียว

SHYNE #2 Content_5.jpg

เทรนด์ที่ 1: ออกแบบให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติด้วย ‘Biophilic Design’

Biophilic Design คือแนวคิดการออกแบบที่เน้นความเชื่อมโยงระหว่างผู้คนและบริบทธรรมชาติรอบตัวบ้าน คล้ายยกธรรมชาติอันอบอุ่นและสดชื่นไว้ในตัวบ้าน และกำลังเป็นที่นิยมอย่างก้าวกระโดดในวงการแต่งบ้านและออกแบบภายใน โดยดีไซน์นี้จะเน้นการผนวกองค์ประกอบจากธรรมชาติเข้าไปในตัวบ้าน เช่น ผนังต้นไม้ ช่องหน้าต่างบานใหญ่ที่รับแสงเข้าสู่ตัวบ้าน หรือต้นไม้จริงตามมุมต่างๆ ของบ้าน


การเลือกใช้วัสดุที่มีสัมผัสเป็นธรรมชาติถือเป็นหัวใจสำคัญของ Biophilic Design อาทิ ไม้จริง ไม้สังเคราะห์ หรือแผ่นหินที่มีลวดลายเป็นธรรมชาติ โดยวัสดุตกแต่งเหล่านี้ไม่เพียงเสริมความงดงาม แต่ยังช่วยปรับบรรยากาศให้อยู่สบาย ผ่อนคลายประสาทสัมผัส เข้าถึงธรรมชาติได้ตลอดเวลาซึ่งเหมาะกับพื้นที่แห่งการพักผ่อน

SHYNE #2 Content_3.jpg

เทรนด์ที่ 2:. ยั่งยืนง่ายๆ เริ่มต้นได้ที่ ‘วัสดุยั่งยืน’

วัสดุยั่งยืน คือจุดตั้งต้นแรกสำหรับการปรับบ้านให้ยั่งยืน

วัสดุที่ยั่งยืนแบ่งออกได้หลายประเภท
หนึ่งคือ วัสดุที่มีผลกระทบเชิงลบทางสิ่งแวดล้อมต่ำ  ผลิตจากแหล่งผลิตที่ใส่ใจสังคมและมีจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันสามารถเลือกใช้ได้ทั้ง สิ่งทอ อาทิ ผ้าฝ้ายออร์แกนิก ขนสัตว์ และผ้าที่ผ่านการรีไซเคิล สำหรับบุเฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน และชุดเครื่องนอน กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น

อีกหนึ่งประเภทคือ วัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ หรือมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  เช่น ไม้เก่าที่นำมารีโนเวทบ้านให้มีกลิ่นอายลอฟต์วินเทจ หินสังเคราะห์หรือแผ่นกระเบื้องลายหินอ่อนสำหรับปิดผิวเฟอร์นิเจอร์ เคาน์เตอร์ หรือใช้ปูพื้น โดยวัสดุที่ยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงคำตอบของการออกแบบที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น สวยงาม และสะท้อนถึงความตั้งใจในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบ้าน

SHYNE #2 Content_4.jpg

เทรนด์ที่ 3: ใช้ ‘สีสัน’ สะท้อนความยั่งยืนเป็นธรรมชาติ

สีและผลิตภัณฑ์เคลือบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คือทางเลือกปรับบ้านให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยสามารถเลือกตกแต่งได้ทั้งภายนอกและภายใน สำคัญที่ต้องเลือกใช้สีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ใช้สีที่มีปริมาณสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายต่ำ หรือสีจากธรรมชาติจะช่วยส่งเสริมคุณภาพอากาศภายในบ้านให้ดีขึ้น

การทาสีผนังเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศของพื้นที่ให้ได้ทันที และยังเป็นวิธีที่เพิ่มสีสันที่ใกล้ชิดธรรมชาติให้กับตัวบ้าน สามารถเลือกใช้โทนสีที่มีกลิ่นอายของธรรมชาติ หรือชุดสีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งแวดล้อม  อาทิ สีเขียวสดของพรรณไม้ สีส้มอมน้ำตาลของหญ้าฝรั่น หรือสีน้ำเงินเข้มของท้องทะเล หากจะเป็นสีขาวของเส้นแร่ในหินอ่อนก็ได้เช่นกัน โดยควรพิจารณาเลือกสีหรือวัสดุปิดผิวที่ผลิตด้วยกระบวนการที่ตำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และมีสุนทรียะเป็นธรรมชาติ

SHYNE #2 Content_2.jpg

เทรนด์ที่ 4:. ปรับเก่าให้ใหม่ในสไตล์ “Adaptive House”
แทนที่จะสร้างบ้านจากศูนย์ การปรับบ้านให้ยั่งยืนยิ่งขึ้นสามารถใช้การนำโครงสร้างเก่ามาปรับใช้งานใหม่ โดวิธีการนำของเก่ากลับมาใช้ใหม่เป็นเทรนด์มาแรง โดยดีไซเนอร์และสถาปนิกต่างค้นพบว่าการเก็บรักษาอาคารที่มีโครงสร้างแข็งแรง (‘good bones’) นั้นมีประโยชน์มากกว่าการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด และยังช่วยลดขยะจากการก่อสร้างได้อีกด้วย

แนวคิดการนำโครงสร้างเก่ามาสร้างบ้านในรูปแบบใหม่ที่ทันสมัยมีชื่อว่า adaptive reuse ซึ่งเน้นการนำวัสดุเก่ามาใช้ โดยการคงโครงสร้างบางส่วนของบ้านเดิมไว้สามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ไม่ว่าจะเป็นค่าขออนุญาต ค่าระบบบำบัดน้ำเสีย ค่าเชื่อมต่อระบบสาธารณูปโภค และอื่นๆ นอกจากนี้ เจ้าของบ้านสามารถรวมโครงสร้างบางส่วนที่มีอยู่เดิมเข้ากับการออกแบบใหม่ได้ โดยสุนทรียะและความทรงจำดีๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เดิมจะช่วยให้บ้านรู้สึกอบอุ่น ลึกซึ้ง และมีเรื่องราวยิ่งขึ้น

SHYNE #2 Content_1.jpg

เทรนด์ที่ 5: ใช้กลยุทธ์ “Passive Design”
Passive Design คือเทคนิคการออกแบบยั่งยืนที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน หรือลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การวางผังบ้านให้เหมาะสม การติดตั้งฉนวน และการจัดตำแหน่งหน้าต่างและบานประตูอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการออกแบบที่คิดมาอย่างแยบคายแบบฉบับ Passive Design จะลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานไฟฟ้า ช่วยระบายอากาศหรือสมดุลอุณหภูมิได้ด้วยการออกแบบ ซึ่งจะสามารถประหยัดพลังงานได้มากกว่าการออกแบบโดยทั่วไป

กลยุทธ์ Passive Design เน้นการปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ อาทิ การออกแบบและจัดตำแหน่งหน้าต่างใหม่ ให้ยั่งยืน และการเลือกใช้วัสดุปิดผิวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ หินสังเคราะห์ แผ่นกระเบื้องลายหินอ่อนที่ไม่ทำลายหินอ่อนธรรมชาติ ซึ่งการปรับบ้านสไตล์นี้จะยกระดับความสวยงาม และลงตัวกับแนวคิด biophilic design ที่ให้การใช้ชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน

คุณเองก็มีบ้านที่ยั่งยืนตามเทรนด์ทั้ง 5 นี้ได้ โดยเฌอร่าขอนำเสนอ SHYNE by Shera มิติใหม่ของวัสดุปิดผิวจากธรรมชาติตรงโจทย์ทั้งรายละเอียดธรรมชาติอันงดงาม คุณภาพสูง ทนทาน โอบล้อมผนังบ้านด้วยวัสดุปิดผิวที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ
 

SHYNE #2 Content_6.jpg

SHYNE by SHERA ออกแบบลวดลายและผิวสัมผัสให้เลือกหลากหลายในราคาที่สบายใจ อาทิ Traventine Series หินสังเคราะห์หรือแผ่นกระเบื้องลายหินอ่อนลุคโมเดิร์นที่มีถึง 8 สี เน้นลวดลายรูพรุนที่บอกเล่าประสบการณ์ของธรรมชาติ และ Rammed Earth Series แผ่นกระเบื้องลายหินสีเทา สีอิฐแดง และสีขาวที่โดดเด่นด้วยมิติหน้าตื้นลึกซึ่งเป็นสุนทรียะของหินธรรมชาติ


ยั่งยืนไปด้วยกันได้แล้ววันนี้ SHYNE by Shera พร้อมแล้วที่จะยกระดับการตกแต่งผนังบ้านให้หรูเงียบแต่เฉียบด้วยรายละเอียด สามารถติดตามรายละเอียดวัสดุ สอบถามเกี่ยวกับวัสดุเพิ่มเติม และสั่งซื้อได้ทาง https://www.shynebyshera.com/en/home